top of page

NoName No.1

ผมได้ไอเดียมาจาก การที่เรารู้ว่าบางสิ่งบางอย่างมีอยู่/เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถสัมผัสได้/ไม่มีตัวตน
บางสิ่งไม่มีตัวตน แต่สามารถสัมผัสได้

ประโยคหลักของเพลง : ได้มาจากการที่ผมฟังพระสวดมนต์ตอนผมกำลังเดินทางกลับบ้าน และรวมกับแบบฝึกหัดที่ผมชอบนำมาวอมตอนก่อนที่จะเริ่มซ้อม ดัดแปลงจังหวะและเสียงนิดหน่อยเพื่อให้มีทำนองที่เหมือนจะประหลาด

ท่อนแรก: เปิดตัวด้วยความไม่ชัดเจน แต่ก็ยังรู้ถึงประโยคของเพลง (เหมือนการเดินทาง)

ท่อน A : เริ่มทำนองเพลงที่มีความชัดเจน แต่ก็เหมือนการที่คนขับรถผ่านวัดหรือที่ๆนึงที่เราได้ยินเสียงที่ตามหลังรวมกับเสียงอื่นที่ผ่านเข้ามาในหูของเรา

ท่อน B : เนื่องจากได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ได้ยินเสียงพระสวดจึงต้องมีการสวดรวมกัน ทำนองตรงท่อนนี้ก็คล้ายใช้ไอเดียคล้ายๆกัน

ท่อนเชื่อม B - C : คือการเล่นกับช่องว่างระหว่างจังหวะ แต่จะไม่ให้เงียบ

ท่อน C : การไปยังสถานที่อื่นหลังจากผ่านวัดๆนั้นก็ได้ผ่านไปที่อื่น เป็นการเริ่มทำนองใหม่ที่ใช้เครื่องเสียงต่ำเป็นตัวตั้ง แต่ในขณะเดียวกัน ณ สถานที่ใหม่ก็ยังคงวัด แต่เป็นการสวดคนละสำเนียงกัน

ท่อน D : เป็นท่อนที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่องจากเพลง แต่ผมได้เล่าผ่านมุมมองการเดินทางของผมที่ในบางครั้งเราก็จะเจอความแปลกหรือความท้าทายบางอย่างที่หลุดออกนอกประเด็นหลัก
(เหมือนการขับรถที่ต้องผ่านสถานที่ต่างๆ มนบางครั้งเราอาจไม่ได้เจอสิ่งที่คุ้นเคยเลย)

ท่อน E : เหมือนการที่เราเดินเข้าไปฟังพระสวดในวัดเลย (แต่ผมเล่าผ่านอารมณ์ของความเหงาและค่อยๆพัฒนาไปหาความยิ่งใหญ่) ปล.ช่วงก่อนเข้าท่อนมันเป็นแค่ Concept ในโชว์ จริงๆไม่มีก็ได้

ท่อน F : การพัฒนาบทสวดของผม ในท้ายที่สุดก็ต้องจบบทสวดบทนี้ ด้วยความอรังการและยิ่งใหญ่ก่อนที่จะเริ่มทำนองใหม่ ด้วยการนำทำนองเดิมมาใช้ก่อนที่จะ Develop ไปหาท่อนถัดไป

ท่อน G : เริ่มจากความสนุกที่ได้เข้ามาเจอความสวยงามของสถานที่ จึงได้ใส่ให้ทำนองมีความสนุก เหมือนกับที่วัดมีการนจัดงานรื่นเริ่งต่างๆเช่นงานบุญหรืองานวัด

ท่อน H : ความสนุกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ยังคงสนุก และ ประทับใจกับงานได้ในแบบของตัวเอง (แต่ภายในวัดยังไงเราก็จะยังคงได้ยินบทสวดอยู่ดี)

ปล. เพลงนี้ผมทำขึ้นโดนการจับ theme ของงานผม มารวมกับประสบการณ์ที่ผมได้แรงบันดาลใจระหว่างนั่งรถกลับบ้าน

bottom of page